วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตรวจสุขภาพ


ใครที่ไปตรวจสุขภาพมาควรประเมินตัวเองว่าสอบตกหรือว่าผ่าน ถ้าสอบตกก็เตรียมตัวใหม่ดีๆคราวหน้าล่ะ เรื่องแบบนี้เขาจะให้สอบซ่อมได้อีกกี่ครั้งเราก็ไม่รู้ แถมเสียทั้งเวลาและเงินอีก สำหรับคนที่มีลูกแล้วก็จะรู้ซึ้งมากขึ้นว่ากว่าพ่อแม่จะประคบประหงมพวกเราตั้งแต่เด็กจนโตมาป่านนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นแค่เราดูแลรักษาตัวเองดีๆไม่ให้มันเสื่อมก่อนเวลาอันควรก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ทางหนึ่งแบบง่ายๆแล้ว มิฉะนั้นจะกลายเป็นเนรคุณไปโดยไม่รู้ตัวถ้าไม่ทนุถนอมร่างกายตัวเองที่พ่อแม่ให้และเลี้ยงดูมาเป็นสิบๆปี

จริงๆเรื่องดูแลสุขภาพตัวเองก็เรื่องง่ายๆรู้ๆกันอยู่เพราะเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่พวกเราชอบทำตามใจอยากตัวเอง ผลมันก็เลยออกมาไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่สำหรับบางคน จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้ หวังว่าพวกเราเมื่อรู้ตัวคงไม่สายเกินไปกันนะ ก็แค่
  • กินอาหารครบทุกหมู่อย่างพอประมาณ (ไม่กินมากไปหรือน้อยไป หรือกินจุกกินจิกตามใจตัวเอง) 
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย 
  • หลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่และยาเสพติด

ส่วนสุขภาพทางจิตใจก็เรื่องเดิมๆที่ได้ยินได้ฟังมาจนชินหูเช่นกันจนตัวเองคิดว่ารู้อยู่แล้วมาบอกทำไมแต่ไม่ค่อยคิดจะทำ ทวนอีกทีก็คือ 
  • ทำใจสบายๆ
  • ฝึกมีสติรู้สึกตัวบ่อยๆ 
  • พยายามปล่อยวาง 
  • มองโลกหรือคนอื่นในแง่ดีมากขึ้น 
  • พยายามจับผิดคนอื่นให้น้อยลง 
  • ฝึกให้อภัยคนอื่นและตัวเองโดยเริ่มต้นง่ายๆเวลามีเรื่องราวกับใครให้พูดในใจว่า "ฉันให้อภัยคุณ" (หรืออย่างน้อย "กูให้อภัยมึง" ก็ได้ถ้าอารมณ์กำลังคุกรุ่นอยู่) 
  • อย่าไปใส่อารมณ์กับข่าวคราวในหนังสือพิมพ์หรือทีวีมากนัก

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โกรธอย่างไม่โง่ และไม่บ้า


ขออนุญาตเตือนใจทุกคน รวมถึงตัวคนเขียนเองด้วย ความโกรธเป็นเรื่องธรรมดา เริ่มจากหงุดหงิดรำคาญไปจนถึงเดือดดาลเป็นไฟพลุ่งพล่านในอก จนทะลักออกมาเป็นคำพูดด่าหยาบคายหรือเฉือดเฉือนจิตใจอีกฝ่ายให้สะใจ แรงขึ้นมาก็ทำลายข้าวของหรือทำร้ายร่างกาย แล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ? ไม่แค่จะทำร้ายคนอื่นที่อาจเป็นคนใกล้ชิดเราเท่านั้นยังจะทำร้ายตัวเองอีกด้วย ทางการแพทย์บอกว่า ขณะโกรธ ร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลินเข้าสู่เลือด มันจะกระตุ้นประสาททำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ก่อให้เกิดหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ นอกจากนี้คนโกรธง่ายและบ่อยพอสะสมไว้จะทำให้เกิดโรคจิตที่เรียกว่าไซโคโซมาติค (Psychosomatic Disorder) ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคทางกายตามมา เช่น เบาหวาน หัวใจ หอบหืด มะเร็ง เป็นต้น ทางศาสนาพุทธเรายังบอกไว้ว่า ไม่ว่าตอนมีชีวิตจะทำความดีอะไรมาก่อน แต่ถ้าจิตที่ดับลงขณะขุ่นมัวด้วยความโกรธ จิตจะไปเกิดใหม่ที่นรกภูมิเพราะตรงกับสภาพจิตที่เร่าร้อน

พระพยอมเคยพูดว่า โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ปัญหาคือจะจัดการกับความโกรธอย่างไม่โง่และไม่บ้ายังไงดี ลองคิดหาวิธีดูกันเองนะ

แต่ถ้าอยากสนุกก็มีวิธีนึงให้ลองเล่นดู เริ่มจากตอนที่ยังไม่มีอารมณ์โกรธก่อน พยายามจำสภาพใจตัวเองตอนไม่โกรธว่าเบาสบายยังไง จากนั้นพอมีเรื่องหงุดหงิดมา ก็ให้ดูความแตกต่างของใจตัวเองตอนโกรธกับตอนเบาสบาย ลองสังเกตดีๆจะเห็นว่าความโกรธเดี๋ยวก็มากขึ้น เดี๋ยวก็ลดลง แต่ไม่ว่ายังไงมันจะหายไปแน่นอน ถ้าเล่นจนมีสติรู้ครบวงจรตั้งแต่ตอนความโกรธเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ก็ถือว่าเยี่ยม ถ้ารู้ครบวงจรได้ทุกครั้ง ก็ถือว่าสุดยอด ถ้าเล่นบ่อยจนจิตเบื่อหน่ายความโกรธ เห็นว่ามันไม่เป็นสาระเพราะมันก็วนอยู่แค่นี้แหล่ะ จนกระทั่งจิตปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ก็ถึงขั้นอมิตตพุทธ

หัวใจสำคัญของวิธีเล่นนี้ คือ ดูการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอนของสภาพจิต แต่อย่าไปวนคิดเรื่องที่ก่อให้เกิดสภาพจิตนั้น เช่น คนขับรถปาดหน้า มีความโกรธเกิดขึ้น ก็ดูการเกิดขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของความโกรธ ไม่ใช่คอยไปคิดเรื่องที่มีคนขับรถปาดหน้าซึ่งมันจบไปแล้ว มันยากและท้าทายก็ตรงนี้นี่แหล่ะเพราะใจเราเดี๋ยวๆมันก็จะวกกลับไปคิดเรื่องคนขับปาดหน้าตลอด ก็ไม่เป็นไร รู้ตัวก็กลับมาดูจิตตัวเองใหม่ ทำบ่อยๆจิตก็จะค่อยๆตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ จิตก็จะมีพลังทางบวกมากขึ้น

วิธีเล่นนี้ไม่ใช่แค่เล่นกับอารมณ์โกรธได้อย่างเดียว แต่เอาไปเล่นกับอารมณ์อื่นได้ด้วย เช่น ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญ ความอยากหรือไม่อยาก ความกังวลเป็นห่วงโน่นห่วงนี่ 

วิธีจัดการกับความโกรธอีกวิธีหนึ่งคือ ใช้อารมณ์ตรงข้ามคือ ความเมตตา ซึ่งเป็นกระแสชุ่มช่ำด้านเย็น คนที่มีเมตตาสูงจะโกรธยากและหายง่าย ฝึกง่ายๆคือ เวลามีคนทำหรือพูดไม่ดีกับเรา หรือโกรธใส่เรา แทนที่จะโกรธใส่กลับ ก็ให้รู้สึกว่าเขาหรือเธอคนนั้นน่าสงสารแทน

ก็ลองดูกันก็แล้วกัน ความสุขหาได้ไม่ยากหรอกแค่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่ต้องรอว่าจะมีนั่นมีนี่ก่อนถึงจะมีความสุข หรือรอให้ใครทำดั่งใจฉันก่อนถึงจะมีความสุข 

Refs


วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ท่านอนของเด็กทารก


  • เด็กทารกควรนอนหงายในช่วงปีแรกหลังเกิด การให้เด็กนอนหงายลดอัตราการตายเฉียบพลันไปกว่า 50% จากการวิจัยที่ US ผลการวิจัยนี้ถูกยืนยันในการวิจัยที่ New Zealand และ UK ด้วยเช่นกัน ที่ออสเตรเลียจำนวนการตายเฉียบพลันของเด็กทารกลดไปถึง 83% เมื่อมีการรณรงค์ให้เด็กทารกนอนหงาย
  • เด็กทารกก่อน 5-6 เดือนส่วนใหญ่ไม่สามารถเปลี่ยนท่านอนตัวเองได้ คือ แหมะท่าไหนก็อยู่ท่านั้นตลอด ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กทารกตายเฉียบพลันสูงสุด
  • สาเหตุที่เด็กนอนคว่ำและทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก ถูกปิดทางเดินหายใจ, หายใจออกซิเจนได้ต่ำ, หายใจคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้าไปขณะนอนคว่ำ, หายใจเอาเชื้อโรคจากที่นอนเข้าไป
  • ถึงแม้ว่าการให้เด็กนอนตะแคงปลอดภัยกว่าให้เด็กนอนคว่ำ แต่ก็อันตรายกว่าให้เด็กนอนหงายถึง 2 เท่า นอกจากนี้การนอนตะแคงจะทำให้หัวเด็กทารกเกิดอาการแบนข้าง
  • เด็กทารกที่ฟันกำลังขึ้น หรือป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจอาจจำเป็นต้องนอนตะแคงเพื่อช่วยให้น้ำเมือกไหลออกจากปากแทนที่จะไปตุนอยู่ที่ลำคอ
  • ถ้าจะให้เด็กนอนตะแคง ให้เอามือที่อยู่ข้างล่างเยื้องไปข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กทารกพลิกตัวมาอยู่ในท่านอนคว่ำ และไม่ควรเอาอะไรไปหนุนหลังเด็กเพราะจะทำให้เด็กหมุนตัวกลับมานอนคว่ำแทนที่จะนอนหงาย
  • ให้เด็กทารกนอนหงายจะทำให้หัวเด็กแบนข้างหลัง วิธีป้องกันโดยการวางหัวเด็กให้ตะแคงซ้ายขวาสลับกันเวลานอน 
  • ขณะเด็กทารกตื่น และเป็นช่วงที่เรากำลังเล่นหรือพูดกับเด็ก ควรวางเด็กนอนคว่ำเพื่อป้องกันการผิดรูปของกระโหลกศีรษะ และช่วยฝึกกล้ามเนื้อท้อง หลังและคอของเด็กทารก
Refs: